วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฟ้อนภูไท

ฟ้อนภูไท

เมื่อ กล่าวถึงดินแดนแห่งภาคอีสานต้องนึกถึงศิลปวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ของคนอีสาน ที่มีความหลาย เฉกเช่นเดียวกับภาคอื่นๆ ของประเทศไทย ชาวอีสานมีวัฒนธรรมที่หลากหลายเพราะมีหลายท้องถิ่นและเผ่าพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ คือ ไทลาวและมีกลุ่มชาติพันธุ์อีกหลายชาติพันธุ์ ที่กระจัดกระจายอยู่ในท้องถิ่นอีสาน ชาวภูไท เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาจากกลุ่มไทลาว ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแม่น้ำโขงแยกกลุ่มนี้ออกจากภูไทในภาคเหนือของลาว และญวน กลุ่มภูไกลุ่มใหญ่ที่สุดอาจจะอยู่แถบลุ่มน้ำโขงและแถบเทือกเขาภูพานเช่น​ จังหวัดนครพนมได้แก่อำเภอคำชะอีธาตุพนม เรณูนคร นาแก จังหวัดสกลนคร ได้แก่อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่ อำเภอกุฉินารายณ์ เขาวง สหัสขันธ์ ส่วนภูไทผู้เข้าสู่ภาคกลางในจังหวัดราชบุรี และเพชรบุรี ในย่านนั้นเรียกว่า ‘ลาวโซ่ง’ ชาวภูไทมีลักษณะความเป็นอยู่แบบครอบครัวใหญ่ในบ้านเดียวกัน เป็นกลุ่มคนทำงานที่มีความขยันขันแข็ง มัธยัสถ์ทำงานได้หลายอาชีพเช่น ทำนา ทำไร่ ค้าวัว ค้าควาย นำกองเกวียนบรรทุกสินค้าไปขายต่างถิ่นเรียกว่า‘นายฮ้อย’เผ่าภูไทเป็นกลุ่ม ที่พัฒนาได้เร็วกว่าเผ่าอื่นมีความรู้ความเข้าใจ และมีความเข้มแข็งในการปกครอง มีหน้าตาที่สวย ผิวพรรณดี กริยามารยาทแช่มช้อย มีอัธยาศัย-ไมตรีในการต้อนรับแขกแปลกถิ่นจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง

ที่มา:
http://www.stou.ac.th/study/sumrit/3-56(500)/page1-3-56(500).html

โดย เฉพาะศิลปวัฒนธรรมที่เป็นที่รู้จักกัน นั่นคือ การฟ้อนภูไท 3เผ่า เป็นการนำเอามรดกทางวัฒนธรรมของชาวภูไทที่อาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาภูพาน ซึ่งได้ยกมา 3จังหวัดคือ กาฬสินธุ์ สกลนคร และนครพนม มาเปรียบเทียบในเชิงการจัดการแสดงทางด้านนาฏกรรม อันเนื่องมาจากชาวภูไททั้งสามกลุ่มนี้มีรูปแบบและ เอกลักษณ์ของตนเองที่แตกต่างกัน ในปี พ.ศ. 2522กรมศิลปากรมีนโยบายที่จะเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอีสาน จึงได้จัดส่งคณาจารย์พร้อมนักเรียนจากวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด ลงพื้นที่ภาคสนามในจังหวัดกาฬสินธุ์สกลนคร และนครพนม(ต่อมามีพื้นที่แยกตัวเป็นจังหวัดออกจากนครพนมคือ มุกดาหาร) โดยรวบรวมเอาท่าฟ้อน กลอนลำ ดนตรีและการแต่งกาย จนเป็นผลงาน “ฟ้อนภูไท 3 เผ่า” ขึ้นมาการฟ้อนภูไท 3 เผ่า ประกอบด้วยภูไทสกลนคร - ภูไทกาฬสินธุ์ – ภูไทเรณู ภูไทสกลนคร มีด้วยกัน 2 ลาย คือ ลายสำหรับรำ และลายสำหรับบรรเลง ลายสำหรับรำจังหวะจะนิ่มกว่า และจะมีเนื้อร้องว่า ไปเย้อไป ไปโฮ่เอาชัย เอาสอง ไปฮ่มพี่ ฮ่วมน้อง ส่วนลายสำหรับ
บรรเลง ก็เอาไปรำได้ แต่จะเอาไปรำในชุด มวยโบราณ ภูไททั้ง 3 เผ่านี้ การแต่งกายจะคล้ายๆ กัน แต่จะมีจุดเด่นตรงที่ ภูไทสกล จะแต่งกายชุดแขนกระบอกดำ ผ้าซิ่นดำนุ่งยาว มีแถบแดงที่ปลายแขนเสื้อ แถบกลางลำตัวตรงกรุดุมเสื้อ แถบปกคอเสื้อ ตันซิ่นสีแดง ใส่เล็บภูไทสีแดงมีภู่ ท่ารำส่วนมากจะเน้นการโชว์ ส่วนของแขนและมือ(เล็บ) ภูไทกาฬสินธุ์ จะแต่งชุดเสื้อแขนกระบอกดำ ห่มสะไบแดง ผ้าพันศรีษะสีแดง ผ้าซิ่นนุ่ง ระดับเข่า จะรำโดยใช้ลายภูไทกลาง (คือ ลายที่เราคุ้นหูมากที่สุดที่ขึ้นด้วย โอ้ย.....น้อ.....ละว่า...ภูไท เอ๋ย...) ภูไทเรณู จะนุ่งชุดเสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงิน ผ้าซิ่นนุ่งยาว แถวสีขาวทั้งเสื้อและผ้าซิ่น ห่มสะไบสีขาว ลายที่ใช้รำ จะคล้ายกับลาย ศรีโคตรบูรณ์ แต่เป็นลายภูไทเรณู จะรำอ่อนช้อยสวยงามมาก จะใช้การเคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกาย เน้นการจีบนิ้วเพราะลายจะช้ากว่าทุกๆ ลาย
ที่มา:
http://www.stou.ac.th/study/sumrit/3-56(500)/page1-3-56(500).html

ฟ้อนภูไท 3 เผ่า จะเริ่มจากการฟ้อนของชาวภูไทจังหวัดกาฬสินธุ์ ภูไทจังหวัดสกลนคร และภูไทจังหวัดนครพนม ในการฟ้อนภูไท
ทั้ง 3 เผ่านี้ จะมีผู้ชายเข้ามาฟ้อนประกอบทั้งสามเผ่า มีการแสดงการฟ้อนมวยโบราณต่อสู้แสดงเชิงมวยกันระหว่างเผ่า และตลอดจนการ
ฟ้อนเกี้ยวพาราสีของชายหญิงอีกด้วยหลังจากนั้นไม่นานวิทยาลัย นาฏศิลปกาฬสินธุ์ ก็ได้ประดิษฐ์ ฟ้อนภูไท 3เผ่า ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะ
มีลักษณะที่แตกต่างกัน คือ จะเริ่มการฟ้อนด้วยเผ่าสกลนครก่อน ตามมาด้วยภูไทจังหวัดกาฬสินธุ์ และภูไทจังหวัดนครพนม ซึ่งจะฟ้อน
เฉพาะผู้หญิงล้วนสำหรับ “ฟ้อนภูไท 3 เผ่า” ของ ชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง (วงแคน) จะใช้วิธีการนำเสนอคล้ายกับฟ้อนภูไท 3 เผ่า ของวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด เพียงแต่มีท่าฟ้อนที่แตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่ง“ฟ้อนภูไท 3 เผ่า”มีลักษณะ ดังนี้

          ฟ้อนภูไทจังหวัดนครพนม เป็นฟ้อนที่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีคือ การฟ้อนผู้ไทของอำเภอเรณูนคร จนถือว่าเป็นเอกลักษณ์
ของจังหวัดนครพนม ท่าฟ้อนผู้ไทได้แก่ ท่าเตรียม ท่านกกระบาบิน ท่าลำเพลิน ท่ากาเต้นก้อน ท่ารำม้วน ท่าฉาย ท่ารำส่าย ท่ารำบูชา ท่า
ก้อนข้าวเย็น ท่าเสือออกเหล่า ท่าจระเข้ฟาดหาง ซึ่งการฟ้อนจัดเป็นคู่ๆ ใช้ชายจริงหญิงแท้ตั้งแต่ 10 คู่ขึ้นไป เครื่องดนตรีประกอบด้วย
กลองกิ่ง กลองแตะ กลองยาว ฆ้องโหม่ง พังฮาด และกั๊บแก๊บ สำหรับเครื่องแต่งกาย ฝ่ายหญิงนิยมใช้เสื้อสีน้ำเงินเข้มขลิบสีแดงทั้งเสื้อและ
ผ้าถุง ผ้าสไบสีขาว เครื่องประดับใช้เครื่องเงินตั้งแต่ตุ้มหู สร้อยคอกำไลเงิน ผมเกล้ามวยสูงทัดดอกไม้สีขาว ห่มผ้าเบี่ยงสีขาว ซึ่งปัจจุบัน
ใช้ผ้าถักสีขาว ส่วนผู้ชายจะใส่เสื้อม่อฮ่อมขลิบผ้าแดงนุ่งกางเกงขาก๊วยมีผ้าคาดเอวและโพก ศีรษะ

      ฟ้อนภูไทจังหวัดสกลนคร เป็นฟ้อนผู้ไทที่มีลีลาแตกต่างจากฟ้อนผู้ไทในท้องถิ่นอื่น เนื่องจากฟ้อนผู้ไทจังหวัดสกลนครจะสวมเล็บ
คล้ายฟ้อนเล็บทางภาคเหนือ ปลายเล็บจะมีพู่ไหมพรมสีแดง ใช้ผู้หญิงฟ้อนล้วนๆ ท่าฟ้อนที่ชาวผู้ไทสกลนครประดิษฐ์ขึ้นนั้นมีเนื้อเพลง
สลับกับทำนอง การฟ้อนจึงใช้ตีบทตามคำร้องและฟ้อนรับช่วงทำนองเพลง เครื่องแต่งกาย จะใส่เสื้อสีดำ ผ้าถุงดำขลิบแดง สวมเล็บทำด้วย
โลหะหรือบางแห่งใช้กระดาษทำเป็นเส้นมีพู่ตรงปลายสีแดง ห่มผ้าเบี่ยงสีแดง ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้สีขาว บางครั้งผูกด้วยผ้าสีแดงแทน
ในปัจจุบันพบว่า เสื้อผ้าชุดฟ้อนผู้ไทจังหวัดสกลนครได้เปลี่ยนไปบ้าง คือ ใช้เสื้อสีแดงขลิบสีดำ ผ้าถุงสีดำมีเชิง ผ้าเบี่ยงอาจใช้เชิงผ้าตีนซิ่นมาห่มแทน
  ฟ้อนผภูไทจังหวัดกาฬสินธุ์ มีลักษณะการแต่งกายแตกต่างจากฟ้อนผู้ไทในถิ่นอื่น จะสวมเสื้อสีดำขลิบด้วยผ้าขิด ห่มผ้าแพรวา นุ่งผ้า
ถุงมัดหมี่มีเชิง ลีลาการฟ้อนได้รับการผสมผสานจากท่าฟ้อนผู้ไท และเซิ้งบั้งไฟ ท่าฟ้อนจะเริ่มจากท่าฟ้อนไหว้ครู ท่าเดิน ท่าช่อม่วง ท่า
มโนราห์ ท่าดอกบัวบาน ท่ามยุรี ท่ามาลัยแก้ว โดยใช้ผู้หญิงฟ้อนล้วนๆ ฟ้อนผู้ไทของกาฬสินธุ์จะมีการขับลำประกอบเรียกว่า “ลำภูไท”
ฟ้อนผู้ไท 3 เผ่าเป็นการประยุกต์การฟ้อนผู้ไทของทั้ง 3 ถิ่น ให้เห็นถึงลีลาการฟ้อนที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละถิ่น ซึ่งการฟ้อนผู้ไท 3 เผ่า
จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะร่วมกันของชาวผู้ไททั้ง 3 เผ่าฟ้อนผู้ไท 3 เผ่าจะเริ่มจากฟ้อนผู้ไทกาฬสินธุ์ ผู้ไทสกลนครและผู้ไทเรณูนคร ใน
การฟ้อนผู้ไท 3 เผ่านี้จะเพิ่มผู้ชายฟ้อนประกอบทั้ง 3 เผ่า มีการโชว์ลีลาของรำมวยโบราณต่อสู้ระหว่าเผ่าและ หรือการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างชายหญิง